วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Fasa (วลี)




Fasa (วลี) 

กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป  แต่ขาดประธานหรือขาดกริยา  จึงยังไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์   เพราะองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของประโยคนั้นต้องประกอบด้วยทั้งประธานและกริยา หนึ่งของประโยค  ซึ่งก็คือ  มันจะไปทำหน้าที่ในส่วนของประธาน  กริยา  กรรม หรือส่วนเติมเต็ม  หรือทำหน้าที่ขยายกริยา  ขยายคำนามก็ยังได้

ประเภทของวลี

1.fasa nama (
นามวลี)

นามวลี   คือ คำที่มีหน้าที่เป็นโครงสร้างประโยค ประกอบด้วย 4 หน่วย ได้แก่ หน่วยประธาน + หน่วยภาคแสดง (ที่ไม่มีกริยา) + หน่วยกรรม และ หน่วยส่วนขยาย ลักษณะนามวลีที่ต่างไปจากภาษาไทยมาตรฐาน คือ นามวลีที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยภาคแสดง กล่าวคือ นามวลีที่ปรากฏใน ภาคแสดงในภาษามลายูมักเป็นนามวลีที่ปรากฏตามลำพังโดยไม่มีส่วนกริยานำหน้า 


ตัวอย่าง

1.Bapa  saya guru sekolah agama.
พ่อของฉันเป็นครูโรงเรียนศาสนา

2.Kakak saya memilih yang merah itu. 
พี่สาวของฉันเลือกสีแดงนั้น

นอกจากนี้ นามวลีที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยขยายก็เช่นเดียวกัน เป็นนามวลีที่สามารถปรากฏ
ได้ทันทีหลังจากคำบุพบทที่อาจทำหน้าที่แทนกริยาในทำนองประโยคที่ละส่วนกริยา

ตัวอย่าง

1.Hadiah ini kepada ibunya
ของขวัญชิ้นนี้มอบแก่แม่ของเขา



2.fasa k
erja (กริยาวลี)

กริยาวลี  ในภาษามลายูมักจะไม่ปรากฏคำกริยาอื่นอีกตามหลังส่วนขยายของกริยานั้นๆ นอกเสียจากจะต้องมีคำบุพบทหรือคำเชื่อมเพื่อขยายกริยาวลีให้เป็นวลีที่ยาวขึ้น ในขณะที่กริยาวลีในภาษาไทย พบว่าในบางกริยาวลียังมีคำกริยาอื่นอีก เพื่อขยายให้กริยา วลีหลักนั้นสมบูรณ์ สังเกตตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่าง

1.Tolong belikan saya seekor ayam. 
กรุณาซื้อไก่ให้ฉันหนึ่งตัว

นอกจากนี้กริยาวลีรูปเน้นกรรม แบ่งออกเป็น

- กริยาวลีเน้นรูปกรรม บุรุษที่ 1
- กริยาวลีเน้นรูปกรรม บุรุษที่ 2
- กริยาวลีเน้นรูปกรรม บุรุษที่ 3

1.กริยาวลีรูปเน้นกรรม บุรุษที่ 1 คือ วลีที่ประกอบด้วยคำกริยาซึ่งไม่มีคำอุปสรรคนำหน้า แต่นำหน้าด้วยบุรุษที่ 1 เช่น  aku, kami, kita, saya dan sebagainya.

2.กริยาวลีเน้นกรรมบุรุษที่ 2 คือ วลีที่ประกอบคำกริยาที่ไม่มีคำอุปสรรค men นำหน้า แต่นำหน้าด้วยบุรุษที่ 2  เช่น anda, awak, kamu dan sebagainya.

3.กริยาวลีรูป pasif บุรุษที่ 3 คือ วลีที่ประกอบด้วยคำกริยาที่มี Di นำหน้าและตามด้วยบุพบทวลี เช่น           ( oleh + frasa nama ) คำว่า oleh ในบุพบทวลีนั้นสามารถละได้
รูปกริยาวลีเน้นกรรมบุรุษที่ 1 ไม่สามารถใชเหมือนกับกริยาวลีเน้นกรรมบุรุษที่ 3

- กริยาวลีที่ทำหน้าเป็นหน่วยกริยากรรมวาจกนับเป็นกริยาวลีที่มักนิยมใช้กันบ่อยมากในภาษามลายู ทั้งนี้หากเทียบกับภาษาไทย พบว่ามักนิยมใช้กริยาวลีประเภทกริยา กรรตุวาจกเสียส่วนใหญ่ ข้อสังเกตสำหรับการใช้วลีชนิดนี้ในภาษามลายู คือ กริยาที่จะผันรูปเป็น กริยากรรมวาจกนั้นต้องเป็นกริยา สกรรมเสมอ หากเป็นกริยาอกรรม ต้องแปลงรูปให้เป็นกริยาสกรรม เสียก่อน ดังที่กล่าวมาแล้วในการจำแนกหมวดคำ
โดยการสร้างประโยคที่ประกอบด้วย ประธาน+กริยา+กรรม เช่น คำว่า tidur  (นอน) แปลงรูป
เป็นกริยาสกรรมก็จะเป็น menidurkanทำให้นอนหลับ ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้

ตัวอย่าง

1.Kakak tidur.  
พี่สาวนอน

Kakak  menidurkan  adiknya.
พี่สาวทำให้น้องเขาหลับ



3.FRASA  ADJEKTIF (คุณศัพท์วลี)

วลีที่ทำหน้าที่ อธิบายและบ่งบอกลักษณะ (Frasa adjektif iailah frasa yang menerangkan sifat dengan sekurang-kurangnya mempunyai satu perkataan dengan kata sifat sebagai intinya.)

หน้าที่
1. ทำหน้าที่ให้กับนามวลีและคุณศัพท์วลี 
    (Sebagai predikat dalam ayat yang mempunyai pola FN+FA.)

ตัวอย่าง

1. Kemeja baru saya merah.
  เสื้อตัวใหม่ของฉันสีแดง
 
2.Kemeja merah baru saya.
  เสื้อแดงตัวใหม่ของฉัน
 

2.ทำหน้าที่ขยายคำกริยา จะปรากฏหังคำกริยา 
   (Menjadi unsur keterangan dalam kata kerja.)


ตัวอย่าง

1.Menanggung yang sangat kecil.
   หมีตัวเล็กมาก
    
2.Mali berlari tangkas.
   มะลิวิ่งได้ว่องไวมาก


3. จะปรากฏหลังคำนาม (Mwnjadi unsur penerang dalam konstituen predikat.)

ตัวอย่าง


1.Pasir adalah kanak-kanak yang comel.
   ทรายเป็นเด็กน่ารัก

 2.Nan berpakaian skirt krim.
    แนนใส่กระโปรงสีครีม


4.FRASA  SENDI  NAMA  (บุพบทวลี)

 บุพบทวลี คือวลีที่ประกอบด้วยคำบุพบทและคำนาม 

(Frasa sendi nama iailah frasa yang terdiri daripada satu kata sendi nama 
dan diikuti oleh satu frasa nama yang menjadi pelengkap.)

หน้าที่

1. เป็นภาคแสดงของนามวลีและบุพบทวลี 
    (Sebagai predikat dalam pola ayat FN+FSN.)

ตัวอย่าง


1.Seorang wanita muda datang dari Malaysia.
    หญิงสาวคนนั้นมาจากประเทศมาเลเซีย    
2.Gelang ini adalah adik saya.
   กำไลอันนั้นเป็นของน้องสาวฉัน


2.เป็นส่วนขยายให้กับนามวลี กริยาวลี 
   (Sebagai unsur keterangan kepada frasa kerja frasa nama.)

ตัวอย่าง

 1.Saya bersekolah pada pukul 8 pagi.
    ฉันไปโรงเรียน 08.00 น.(บอกเวลา) 

2.Ibu menyapu sampah di dapur.
    แม่กวาดขยะอยู่ในครัว (บอกสถานที่)
  

วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

หลักไวยากรณ์ เบื้องต้น

ภาษามลายู

ภาษามลายู (มลายูBahasa Melayu) เป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน มีสถานะเป็นภาษาราชการในบรูไนมาเลเซียสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย มีผู้พูดประมาณ 200–250 ล้านคน (ณ ปี พ.ศ. 2552)[2] โดยเป็นภาษาแม่ของผู้คนตลอดสองฟากช่องแคบมะละกา ซึ่งได้แก่ ชายฝั่งคาบสมุทรมลายูของมาเลเซียและชายฝั่งตะวันออกของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย และได้รับการยอมรับเป็นภาษาแม่ในชายฝั่งตะวันตกของซาราวะก์และกาลีมันตันตะวันตกในเกาะบอร์เนียว นอกจากนี้ยังใช้เป็นภาษาการค้าในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งได้แก่ ตอนใต้ของคาบสมุทรซัมบวงกากลุ่มเกาะซูลู และเมืองบาตาราซาและบาลาบัก (ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะปาลาวัน
ในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ (Bahasa Kebangsaan หรือ Bahasa Nasional) ของรัฐเอกราชหลายรัฐ ภาษามลายูมาตรฐานมีชื่อทางการแตกต่างกันไป ในบรูไนและสิงคโปร์เรียกว่า "ภาษามลายู" (Bahasa Melayu) ในมาเลเซียเรียกว่า "ภาษามาเลเซีย" (Bahasa Malaysia) และในอินโดนีเซียเรียกว่า "ภาษาอินโดนีเซีย" (Bahasa Indonesia) อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ทางตอนกลางและตอนใต้ของเกาะสุมาตราที่ซึ่งภาษามลายูเป็นภาษาพื้นเมือง ชาวอินโดนีเซียจะเรียกภาษานี้ว่า "ภาษามลายู" และมองว่าเป็นภาษาหนึ่งในบรรดาภาษาประจำภูมิภาคของตน
 คำในภาษามลายูก็เหมือนคำในภาษาอื่นๆ ของโลกที่ต่างมีคำหลากหลายชนิดในภาษาของตนเอง ซึ่งในการสร้างประโยคหนึ่งขึ้นมานั้น ก็จะต้องอาศัยคำเหล่านี้ในการประติประต่อเป็นประโยคหนึ่งเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โดยแต่ละคำก็จะมีหน้าที่และวิธีการใช้ที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติแต่เดิมของคำชนิดนั้นๆ 
          จากชนิดคำข้างต้นนี้ สามคำแรกอันได้แก่ Kata Nama, Kata Adjektif และ Kata Kerja นั้น เป็นคำที่เมื่ออยู่โดดๆ ก็มีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว

          ส่วนคำที่เหลือนั้นเป็นคำที่มิอาจอยู่โดดๆ โดยมีความหมายสมบูรณ์ในตัวได้ แต่จะมีหน้าที่ในการกำหนดทิศทางความหมายของประโยคหนึ่งๆ ได้ เพราะฉะนั้น Kata Sendi, Kata Keterangan, Kata Hubung, Kata Seru และ Kata Sandang จึงถูกอยู่อยู่ในชนิด Kata Tugas หรือ "คำหน้าที่"นั่นเอง

ฉะนั้น ชนิดคำหลักๆ ก็จะประกอบไปด้วยดังนี้ 

          1.)
 Kata Nama (คำนาม)
 2.) Kata Adjektif (คำคุณศัพท์)
 3.) Kata Kerja (คำกริยา)
          4.) Kata Tugas (คำหน้าที่)

1.) Kata Nama (คำนาม)

            หมายถึง คำที่ใช้เรียกสิ่่งๆ หนึ่ง ทั้งที่อยู่สภาพที่เป็นรูปธรรม (Konkrit) และนามธรรม (Abstrak) หรือมีชีวิต (Hidup) และไม่มีชีวิต (Tak Hidup) ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เรียกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งดังต่อไปนี้
            ในภาษาไทยจะเรียกคำชนิดนี้ว่า “คำนาม” นั่นเอง นอกจากนี้ Kata Nama ยังถือเป็นส่วนหลักของประโยคอีกด้วย เช่น



1. คำนามทั่วไป (Kata nama am) คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ เเละสถานที่อย่างรวมๆ ทั่วไป เช่น Orang(คน) Datuk(ปู่) Harimau(เสือ) Hospital(โรงพยาบาล) Sudu(ช้อน)
เช่นKucing, Comel  แมวน่ารัก


2.คำนามเฉพาะ (Kata nama khas) คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ เเละสถานที่อย่างเจาะจง เช่น

Sekolah Tha-it suksa(โรงเรียนท่าอิฐศึกษา)  Hospital Phra nang klao(โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า)

Kampung Tha-it(หมู่บ้านท่าอิฐ)
เช่นRumah itu milik saya.             
   (บ้านหลังนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน)


3.คำสรรพนาม (Kata ganti nama) คือ คำที่ใช้เเทนนามหรือเเทนสิ่งๆหนึ่ง  เเบ่งได้ 3 ประเภท คือ

3.1 บุรุษสรรพนาม(Kata ganti nama diri) คือ คำสรรพนามที่ถูกใช้เพื่อเเทนชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สิ่งๆหนึ่ง

ตัวอย่าง Saya(ฉัน) Aku(ผม) Ana(ข้าพเจ้า) Anda(คุณ) Awak(เธอ) Dia(เขา) Ia(มัน)  Beliau(ท่าน) Kami(พวกเรา) Mereka(พวกเขา) Kzmu(พวกเธอ) Kita(เรา)

3.2 นิยมสรรพนาม (Kata ganti nama tunjuk) หมายถึง คำสรรพนามที่ใช้เเทนคำนามเพื่อบ่งบอกตำเเหน่งหรือสถานที่ตัึ้ง หรือที่อยู่ของคำนามนั้นๆ คำนิยมสรรพนาม ได้เเก่ Ini(นี่ นี้) Itu(นั่น นั้น) Sini(ที่นี่) Situ(ที่นั่น) Sana(ที่โน่น)

3.3 ปฤจฉา่สรรพนาม (Kata ganti nama diri tanya) หมายถึง สรรพนามเเสดงคำถาม ได้เเก่ Apa(อะไร) Siapa(ใคร) Bila(เมื่อไหร่) Bagaimana(อย่างไร) Mana(ที่ไหน) Berapa(เท่าไหร่)

           

           2.Kata Kerja  (คำกริยา)


คือคำที่บ่งบอกถึงการกระทำหนึ่งๆที่ทำขึ้นโดยผู้กระทำหนึ่งๆ คำกริยามี 2 ชนิดคือ

1. สหกรรมกริยา กล่าวคือคือคำกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ อาทิ makan (กิน) minum (ดื่ม) baca (อ่าน) tulis (เขียน) เป็นต้น
เช่น  - Sai makan bihun goreng itu.
         ทรายกินหมี่ผัด

        - Pakaian dicuci oleh emak Laila setiap hari.
          เสื้อผ้าจะถูกซักโดยแม่ไลลาทุกวัน

 2. อกรรมกริยา กล่าวคือคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เช่น mandi (อาบน้ำ) berjalan (เดิน) tidur (นอน) bersenam (ออกกำลังกาย) เป็นต้น
              
เช่น - Anjing itu sedang tidur.
       สุนัขกำำลังนอนหลับอยู่
   
        -Mereka menjalankan jentera itu.
       พวกเขาใช้เครื่องจักร

ประวัติภาษามลายู (Sejarah Bahasa Melayu)

ภาษามลายู

ภาษามลายู (มลายูBahasa Melayu) เป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน มีสถานะเป็นภาษาราชการในบรูไนมาเลเซียสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย มีผู้พูดประมาณ 200–250 ล้านคน (ณ ปี พ.ศ. 2552)[2] โดยเป็นภาษาแม่ของผู้คนตลอดสองฟากช่องแคบมะละกา ซึ่งได้แก่ ชายฝั่งคาบสมุทรมลายูของมาเลเซียและชายฝั่งตะวันออกของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย และได้รับการยอมรับเป็นภาษาแม่ในชายฝั่งตะวันตกของซาราวะก์และกาลีมันตันตะวันตกในเกาะบอร์เนียว นอกจากนี้ยังใช้เป็นภาษาการค้าในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งได้แก่ ตอนใต้ของคาบสมุทรซัมบวงกากลุ่มเกาะซูลู และเมืองบาตาราซาและบาลาบัก (ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะปาลาวัน
ในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ (Bahasa Kebangsaan หรือ Bahasa Nasional) ของรัฐเอกราชหลายรัฐ ภาษามลายูมาตรฐานมีชื่อทางการแตกต่างกันไป ในบรูไนและสิงคโปร์เรียกว่า "ภาษามลายู" (Bahasa Melayu) ในมาเลเซียเรียกว่า "ภาษามาเลเซีย" (Bahasa Malaysia) และในอินโดนีเซียเรียกว่า "ภาษาอินโดนีเซีย" (Bahasa Indonesia) อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ทางตอนกลางและตอนใต้ของเกาะสุมาตราที่ซึ่งภาษามลายูเป็นภาษาพื้นเมือง ชาวอินโดนีเซียจะเรียกภาษานี้ว่า "ภาษามลายู" และมองว่าเป็นภาษาหนึ่งในบรรดาภาษาประจำภูมิภาคของตน
 คำในภาษามลายูก็เหมือนคำในภาษาอื่นๆ ของโลกที่ต่างมีคำหลากหลายชนิดในภาษาของตนเอง ซึ่งในการสร้างประโยคหนึ่งขึ้นมานั้น ก็จะต้องอาศัยคำเหล่านี้ในการประติประต่อเป็นประโยคหนึ่งเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โดยแต่ละคำก็จะมีหน้าที่และวิธีการใช้ที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติแต่เดิมของคำชนิดนั้นๆ 
          จากชนิดคำข้างต้นนี้ สามคำแรกอันได้แก่ Kata Nama, Kata Adjektif และ Kata Kerja นั้น เป็นคำที่เมื่ออยู่โดดๆ ก็มีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว

          ส่วนคำที่เหลือนั้นเป็นคำที่มิอาจอยู่โดดๆ โดยมีความหมายสมบูรณ์ในตัวได้ แต่จะมีหน้าที่ในการกำหนดทิศทางความหมายของประโยคหนึ่งๆ ได้ เพราะฉะนั้น Kata Sendi, Kata Keterangan, Kata Hubung, Kata Seru และ Kata Sandang จึงถูกอยู่อยู่ในชนิด Kata Tugas หรือ "คำหน้าที่"นั่นเอง


    
 สืบค้นเมื่อวันที่ 25/08/2560 จาก          เว็บไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9

เว็บไซต์  http://www.sunnahstudent.com/forum/archive.php?topic=9225.0

Fasa (วลี)

Fasa ( วลี)   กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป   แต่ขาดประธานหรือขาดกริยา   จึงยังไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์    เพราะองค์ประกอบท...